ไม่เกาะร่างกาย

Last updated: 21 ก.ค. 2564  |  4335 จำนวนผู้เข้าชม  | 

ไม่เกาะร่างกาย

ในกรณีที่เพื่อให้รู้ว่าเป็นกระแส ตกลงว่ามันเป็นกระแสหรือเปล่า  ดังนั้น จะขอตัวอย่างที่ให้รู้ว่ามันเป็นกระแสที่  สามารถส่งถึงกันได้ 

ตัวอย่างที่คนที่รู้สึกถึงตรงนี้ได้  เป็นเด็กอายุ 8 ขวบ โดนน้ำร้อนลวกประมาณ 60 เปอร์เซ็นต์ของร่างกาย  ซึ่งจะนอนเป็นกบเลย คือตัวจะขยับไม่ได้  เห็นกบแบบไหน .. จับเขาพลิกไปพลิกมาอย่างนั้นเลย 

เวลาคนโดนน้ำร้อนลวก  ที่ข้อต่อหรือบริเวณผิวหนังจะยึดเหมือนเป็นพังผืดยึด  ซึ่งเขาก็ยังเด็กมาก  ยังโชคดีที่เขาเหลือบริเวณคอกับใบหน้าอยู่  ทีนี้ส่วนอื่นก็กลายเป็นกบไปเลย 

.. เวลาเราขึ้นไปทำแผลเด็กคนนี้  ต้องมีวัสดุทำแผลที่เหมือนโปะไว้ที่ผิวหนัง  แล้วก็ต้องราดน้ำเกลือ  แล้วก็ต้องค่อยๆดึงออกมาทีละแผ่น ..ทีละแผ่น   ซึ่งลองจินตนาการตัวเองว่า  ถ้าหากโดนน้ำร้อนลวกแค่เพียงนิดเดียว คงแสบและทรมานมาก 

ทีนี้เด็กคนนี้เขาทรมานมาก  ไม่รู้จะทำยังไง ..  ... เขาก็จะร้องทุกวันที่ขึ้นไปทำแผล  และเขาก็บอกว่า “ คุณหมอหนูไม่อยากเห็นหน้าแล้วนะ .. หนูยอมตายตัวเน่าๆอย่างนี้แหละ คือไม่ต้องมายุ่งกับหนูนะ  หนูจะตายละ  หนูจะตาย”

เด็กอายุ 8 ขวบ  สามารถคิดว่ายอมตายได้ เพราะว่าทรมานมาก 

ทีนี้ก็รู้สึกว่า  เขาขยับไม่ได้ ไม่สามารถยกมือมาแตะกลางหน้าอก ได้เหมือนเรา 

.. ก็เลยบอกว่า  เดี๋ยวเรามาทำแบบนี้กันดีกว่า  ก็เลยสอนเขา  เอามือแตะไปที่กลางหน้าอกเขา   ถามเขาว่าหนูรู้สึกยังไง..  เขาก็บอกว่า “เหมือนหัวใจเต้นค่ะคุณหมอ .. “

ด้วยความเป็นเด็กสัมผัสได้ รู้สึกได้ปุ้ป .. พูดออกมาเลย คือเขาไม่ต้องมานั่งคิดหลายรอบ

รู้สึกได้ปุ้ปก็พูดเลยว่า “เหมือนหัวใจเต้นค่ะ.. รู้สึกตุ้บๆๆ ..” ก็เลยบอกว่า "งั้นหนูประคองความรู้สึกอย่างนี้ไปตลอดเลยนะ"

ก็เลยลองส่งกระแสให้เขา  .. ทีนี้ตอนส่งกระแส  ตอนนั้นเราคิดว่าต้องส่งพลังออกไปเยอะๆ เพราะไม่เข้าใจว่าจริงๆแล้ว กระแส..เอาไว้ใช้แผ่เมตตาสบายๆ แต่เรากลับไปรู้สึกว่าต้องส่งพลังไปเยอะๆเขาถึงจะหาย  ก็เลยตั้งใจมาก  ส่งพลังไปเยอะๆ 

ก็ส่งไปสักพักนึง ..   เด็กคนนี้เขาร้อง  แล้วบอกว่า "คุณหมอมันร้อนไปทั้งตัวเลย  มันแสบไปหมดเลย" 

ก็เลยอุ้ย.. รู้สึกได้อย่างนี้จริงๆหรอ  ก็เลยรู้สึกว่า เอ๊ะ เขารู้สึกจริงหรือว่าเขาแสบแผล  

ก็เลยลองเปลี่ยนใหม่  .. ส่งกระแสสบายๆ  .. มือเราไม่ติดกัน  แต่เรารับรู้กระแสได้ 

เพราะฉะนั้นบางทีเราอยู่ใกล้บางคน  บางทีกระแสที่ออกจากคนที่ไม่เคยฝึกจิต  บางทีมันไม่ได้มีเมตตาเหมือนคนที่ฝึกจิต  แต่ไม่ใช่ว่าเขาแก้ไขหรือปรับปรุงไม่ได้  คือถ้าเขาได้ฝึก มันก็สามารถปรับเปลี่ยนได้  

เพราะฉะนั้น  บางทีเราอยู่ใกล้บางคนรู้สึกอึดอัด  รู้สึกไม่สบายเลยที่อยู่ใกล้  ในขณะที่อยู่ใกล้บางคนแล้วรู้สึกสบายจัง  รู้สึกดีที่นั่งอยู่ข้างๆ  กระแสมันส่งถึงกันอย่างนี้ 

ก็เลยรู้สึกว่า  พระอาจารย์จะบอกว่า  เวลาส่งให้นึกถึงคุณพ่อคุณแม่  นึกถึงคนที่เรารักก่อน  แล้วกระแสมันจะออกไปแบบสบายๆ  ก็เลยเปลี่ยนใหม่  ลองส่งกระแสให้เขาใหม่  

.. พอส่งสบายๆ  น้องเขาบอกว่า  “อุ้ย! เย็นจังเลย  หนูรู้สึกสบายเหมือนหนูหลับได้เลย” 

ก็เลยรู้สึกว่า  อ๋อ .. ส่งกระแสนี่มันไม่ต้องเค้นให้มันออกไปเป็นพลังอะไรขนาดนั้น .. จากจิตภายใน  เราก็ส่งความสุขให้เขาได้  แผ่เมตตาให้เขาได้ 

หลังจากนั้น  ก็บอกน้องเขาว่า  “หนูดูจิตไปเรื่อยๆนะ แล้วพรุ่งนี้คุณหมอขึ้นมาแล้วเรามาคุยกัน”  

พออีกวันนึงกลับขึ้นไปอีกรอบ.. เด็กคนนี้ไม่ร้องไห้เลยซึ่งก็แปลกมาก เลยเดินไปถามเขาว่า  “คุณหมอเห็นว่าวันนี้หนูไม่ได้ร้องไห้เลย  เกิดอะไรขึ้น ?  หนูยังไม่ได้ทำแผลเหรอคะ”  

เขาบอกว่า  “อ๋อ ไม่ค่ะ.. หนูทำแผลแล้ว”  แล้วหน้าตาแจ่มใสมาก  เราไม่คิดว่า เด็ก 8 ขวบจะทำ

.. ขนาดตัวเองอายุขนาดนี้  ตอนฝึกแรกๆเจอหน้าพระอาจารย์ก็รู้วาต้องดูจิต  พอกลับไป ก็ลืมไปแล้วว่า จิตอยู่ที่ไหน  มันเป็นอย่างนี้ซ้ำซาก 

เด็กคนนี้  เป็นตัวแทนที่ดีให้เราเห็นว่า  การฝึกจิตสามารถทำได้ตลอด  มันขึ้นอยู่กับตัวเราเอง  ว่าเราจะตักเตือนตัวเองให้กลับมารู้สึกได้หรือเปล่า ไม่ได้ขึ้นอยู่กับคนอื่น แต่เด็กคนนี้สามารถทำได้ตลอด

พอขึ้นไปคุยกับเขา  เขาบอกว่า  “คุณหมอรู้มั้ย  หนูทำแผลแล้ว  แล้วคุณหมอ      เชื่อมั้ยว่า  ที่แขนหนูเจ็บเท่าเดิมเลย  ขาหนูก็เจ็บเท่าเดิมเลย  แต่คุณหมอรู้มั้ยว่ากลางหน้าอกที่คุณหมอบอก  ตุ้บๆๆ ...มันไม่เจ็บเลย ..”  

เด็กเขาเรียนรู้โดยธรรมชาติว่า แทนที่เขาจะไปเกาะกับความเจ็บปวดของร่างกาย  แทนที่เขาจะไปเกาะกับความกังวลว่าหมอจะมาเมื่อไหร่  ไม่อยากเห็นหน้าหมอ .. ทำแผลแล้วจะทรมานแค่ไหน.. นี่ก็คือเขาหลงไปเกาะกับความคิดแล้ว  หรือเขาจะไปเกาะกับความเจ็บปวดแล้วบอกว่า  ..มันเจ็บมาก  มันทรมานมาก  เขาไม่อยากอยู่ละ  เขาอยากตาย .. 

จริงๆนี่คือหลักธรรม  คือสิ่งง่ายๆที่พระอาจารย์ประมวลมาแล้ว  แล้วออกมาสอนพวกเราแบบที่ง่ายมาก  ถึงเรื่องของการที่เราสามารถปล่อยวางได้อย่างไร  ซึ่งเด็กคนนี้เป็นตัวแทนให้เห็นเลยว่า  การปล่อยวาง  ไม่ใช่ว่าปล่อยวางแต่คำพูด  แต่เขาปล่อยวางจากที่เขาเห็นจากข้างในว่า .. ถ้าเขาไปเกาะกับความทุกข์ความกังวลข้างนอก  เขาก็ยังทรมานอยู่  แต่เขาสามารถปล่อยวางจากความทุกข์ทางร่างกาย แล้วก็ความคิดได้  เขาก็เลยอยู่ได้อย่างมีความสุข..     

Powered by MakeWebEasy.com
เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ของท่าน ท่านสามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว  และ  นโยบายคุกกี้